นาทีนี้คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่า” เมนูเด็ดจากจีนที่ทั้งเผ็ดทั้งซ่าจนกลายเป็นของโปรดของใครหลาย ๆ คน แต่เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีคำถามในใจเหมือนกันว่า… “ทำไมพอกินหมาล่าเข้าไปแล้วถึงรู้สึก ชาลิ้น เหมือนโดนยาชาเบา ๆ กันนะ ?” 🤔 ซึ่งอาการชานี้ไม่ได้มาจากความเผ็ดของพริกธรรมดา ๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เกิดจากสารพิเศษในส่วนผสมของหมาล่าที่ทำให้ลิ้นเรารับรู้รสได้แปลกกว่าปกติ ทั้งชา ทั้งซู่ ทั้งเผ็ดในคำเดียวกัน และในบทความนี้จะพาไปไขข้อเท็จจริงว่า “ความชา” ในหมาล่ามาจากอะไร เกิดขึ้นได้ยังไง และจริง ๆ แล้วมันอันตรายไหม ใครที่ชอบกินหมาล่าบ่อย ๆ บอกเลยว่าต้องอ่านให้จบ เพราะคำว่า “ชาลิ้น” ที่คุณรู้สึกนั้น มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์รองรับเลยทีเดียว 🔥
หมาล่าคือ ?
หมาล่า มาจากภาษาจีนคำว่า 麻辣 (má là) คำว่า "หมา/หม่า" 麻 หมายถึงอาการชา คำว่า "ล่า" 辣 หมายถึงความเผ็ดร้อน รวมกันก็หมายถึง “ชาเผ็ด” ซึ่งวัตถุดิบหลักของหมาล่าจะมีทั้งจากพริกแห้งที่ให้ความเผ็ดจากสารแคปไซซิน(Capsaicin) และจากพริกเสฉวน หรือ “ฮวาเจียว (Huajiao)” ที่ให้ความชาซ่าจากสารไฮดรอกซี-อัลฟา-ซานชูออล (Hydroxy-α-sanshool) ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว ก็จะกลายเป็นความเผ็ดซ่าอยู่ในปากของเรานั่นเอง
ทำไมกินหมาล่าแล้วถึงรู้สึกชา ?
คำตอบคือ “พริกเสฉวน” หรือ “ฮวาเจียว” (รูปร่างคล้ายเม็ดพริกไทยดำ) ไม่ได้มีรสเผ็ดเพราะสารแคปไซซิน(Capsaicin) เหมือนกับพริกทั่ว ๆ ไป แต่มีสารชื่อว่า “ไฮดรอกซี-อัลฟา-ซานชูออล (Hydroxy-α-sanshool)” ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทบริเวณที่ลิ้นและริมฝีปากให้รับรู้ถึงอาการ “ชา” หรือ “ซ่า” คล้ายกับตอนโดนกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ นอกจากนี้สารตัวนี้ยังส่งผลให้สมองตีความว่ากำลังกินของ “ร้อนจัด” ทั้งที่จริง ๆ อาหารอาจจะไม่ร้อนเลย จึงเกิดความรู้สึกชาทั้งปาก ทั้งลิ้นและนั่นแหละคือเสน่ห์ของหมาล่าที่ทำให้หลาย ๆ คนหลงรัก
แล้วอาการชาลิ้นแบบนี้อันตรายหรือไม่ ?
คำตอบคือ “ไม่อันตราย” ค่ะ สาร Hydroxy-α-sanshool ที่อยู่ในพริกเสฉวนจะกระตุ้นปลายประสาทเพียงชั่วคราว อาการชาและซ่าจะค่อย ๆ หายไปภายในไม่กี่นาทีหลังรับประทาน อย่างไรก็ตาม หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ลิ้นระคายเคืองหรือเกิดอาการแสบได้เล็กน้อย
ผู้ที่มีภาวะไวต่อรสชาติ (taste sensitivity) หรือโรคเกี่ยวกับเยื่อบุในช่องปาก ควรรับประทานในปริมาณพอเหมาะ และดื่มน้ำหรือนมตามเพื่อช่วยลดความระคายเคือง
ข้อควรระวังในการกินหมาล่า
🌶️ 1. ระวังโซเดียมและน้ำมันสูง
น้ำซอส/น้ำซุปหมาล่ามักใส่พริก น้ำมันพริกและเครื่องปรุงเค็ม ๆ อย่างซีอิ๊วหรือผงชูรสเป็นจำนวนมาก กินบ่อย ๆ อาจทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเกิน เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงหรือบวมน้ำได้
🥵 2. อาจระคายเคืองกระเพาะ
ความเผ็ดและมันของหมาล่าส่งผลโดยตรงกับกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาโรคกระเพาะ กรดไหลย้อนหรือระบบย่อยอาหารไม่แข็งแรง ควรเลี่ยงการกินหมาล่าที่มีรสเผ็ดจัด
💋 3. อาการ “ชาลิ้น” ไม่ควรเกิดบ่อยเกินไป
พริกเสฉวนมีสารไฮดรอกซี-อัลฟา-ซานชูออล (Hydroxy-α-sanshool) ที่กระตุ้นปลายประสาท ทำให้เกิดอาการชา หากกินในปริมาณมากหรือบ่อยเกินไป อาจทำให้ลิ้นหรือช่องปากระคายเคืองได้
🔥 4. ระวังของปิ้งย่างที่ไหม้เกรียม
หมาล่าเสียบไม้แบบปิ้งย่างตามตลาดบางแห่งอาจย่างจนไหม้ ซึ่งอาจมีสารก่อมะเร็งอย่างอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ดังนั้นควรเลือกร้านที่ย่างสดใหม่ และไม่ไหม้เกรียม
🥢 5. ควรกินคู่กับผักหรือน้ำเปล่าเยอะ ๆ
ในระหว่างที่กินหมาล่า ควรกินคู่กับผักหรือดื่มน้ำตามเยอะ ๆ เพื่อช่วยลดความเผ็ดมันและปรับสมดุลในร่างกายให้ดีขึ้น ดื่มนมหรือโยเกิร์ตก็ช่วยลดความเผ็ดชาได้เหมือนกัน
สรุปแล้ว อาการชาลิ้น ที่เกิดขึ้นหลังจากกิน หมาล่า ไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของประสาทรับรสที่ถูกกระตุ้นจากสารในพริกเสฉวน จนเกิดความรู้สึกชาและซู่บนลิ้น ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอาหารหมาล่าที่คนทั่วโลกหลงรัก พูดง่าย ๆ คือ “ความชา” นี่แหละ คือเสน่ห์ของหมาล่าที่ทำให้หลายคนติดใจ เผ็ดก็ไม่ใช่ แซ่บก็ไม่เชิง แต่รวมทุกอย่างไว้ในคำเดียว จนทำให้หมาล่ากลายเป็นเมนูยอดฮิตของคนไทยไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย 🔥